กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4

กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4  เป็นรูปแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่ประยุกต์หลักธรรม อริยสัจ 4 ประการ คือ ทุกข์   สมุทัย  นิโรธ  และมรรค  โดยใช้ควบคู่กับแนวทางปฏิบัติที่เรียกกว่า   “กิจในอริยสัจ 4″  ประกอบด้วย ปริญญา (การกำหนดรู้)  ปหานะ (การละ)  สัจฉิกิริยา (การทำให้แจ้ง) และภาวนา (การเจริญหรือการลงมือปฏิบัติ)   โดยประกอบด้วยกระบวนการแก้ปัญหา 4 ขั้น ดังนี้
            ขั้นกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือ การให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
            ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ การให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และตั้งสมมติฐาน
            ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือ การให้ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์ และวิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล
            ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป
กระบวนการกัลยาณมิตร โดยสุมล  อมรวิวัฒน์
เป็นกระบวนการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพื่อจุดมุ่งหมาย   2 ประการ คือ  1. เพื่อชี้ทางบรรเทาทุกข์  และ  2) ชี้สุขเกษมศานติ์  ซึ่งใช้หลักอริยสัจ 4 มาใช้ควบคู่กับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ประการ ในการจัดการเรียนการสอน   ซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน 8 ขั้นด้วยกัน ดังนี้  การสร้างความไว้วางใจ ตามหลักกัลยาณมิตรธรรม  7  ได้แก่ การที่ผู้สอนวางตนให้เป็นที่น่าเคารพรัก เป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้  มีความและฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ  สามารถสื่อสาร  ชี้แจงให้ศิษย์เกิดวามเข้าใจ  แจ่มแจ้ง  มีความอดทน  พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษา  และ   มีความตั้งใจสอนด้วยเมตตา  ช่วยให้ศิษย์พ้นจากทางเสื่อม
  1. การกำหนดและจับประเด็นปัญหา (ขั้นทุกข์)
  2. การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
  3. การจัดลำดับความเข้มของระดับปัญหา (ขั้นสมุทัย)
  4. การกำหนดจุดหมาย หรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
  5. การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (ขั้นนิโรธ)
  6. การจัดลำดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
  7. การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง (ขั้นมรรค)
 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยทิศนา  แขมมณีและคณะ                                              
วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ  (Critical thinking)
ตั้งเป้าหมายในการคิด    ระบุประเด็นในการคิด     ประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริง  และความคิดเห็นี่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้าง ลึกและ ไกล    วิเคราะห์จำแนกแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ของข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้    ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง  ความเพียงพอ และความน่าเชื่อถือ ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูล เพื่อแสวงหาทางเลือก / คำตอบที่สมเหตุสมผลตามข้อมูลที่มีเลือกทางเลือกที่เหมาะสม โดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมา  และคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้นชั่งน้ำหนัก ผลได้ ผลเสีย คุณ-โทษ ในระยะสั้นและระยะยาว ไตร่ตรอง ทบทวน กลับไปมาให้รอบคอบ  ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด
ทักษะกระบวน 9 ขั้น โดยกรมวิชาการ
มีขั้นตอน 9 ขั้น ดังนี้
ตระหนักในปัญหาและความจำเป็น  ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างและกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักในปัญหา  ความจำเป็นของเรื่องที่ศึกษา  หรือเห็นประโยชน์และความสำคัญของการศึกษาเรื่องนั้น ๆ โดยนำเสนอเป็นกรณีตัวอย่าง  หรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่ศึกษา โดยใช้สื่อประกอบ เช่น รูปภาพ วีดิทัศน์  สถานการณ์จริง  กรณีตัวอย่าง สไลด์  ฯลฯคิดวิเคราะห์วิจารณ์   ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์  วิจารณ์  ตอบคำถาม ทำแบบฝึกหัด และให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม หรือรายบุคคลสร้างทางเลือกให้หลากหลาย ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย  โดยร่วมกันคิดเสนอทางเลือก  และอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกนั้นประเมินและเลือกทางเลือก  ให้ผู้เรียนพิจารณาตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาและร่วมกันสร้างเกณฑ์โดยคำนึงถึงปัจจัย  วิธีดำเนินการ  ผลผลิต  ข้อจำกัด ความเหมาะสม  กาลเทศะ  เพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกแนวทางการแก้ปัญหา  ซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมอง  อภิปราย  ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ฯลฯกำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ  ให้ผู้เรียนวางแผนการทำงานของตนเองหรือกลุ่ม โดยอาจใช้ลำดับขั้นการดำเนินงานดังนี้
ศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐาน
กำหนดวัตถุประสงค์
กำหนดขั้นตอนการทำงาน
กำหนดผู้รับผิดชอบ (กรณีทำร่วมกันเป็นกลุ่ม)
กำหนดระยะเวลาการทำงาน
กำหนดวิธีการประเมิน
ปฏิบัติด้วยความชื่นชม  ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ด้วยความสมัครใจ  ตั้งใจมีความ กระตือรือร้น และเพลิดเพลินกับการทำงาน  ประเมินระหว่างปฏิบัติ  ให้ผู้เรียนสำรวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน  โดยการซักถาม  อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอน และตามแผนงานที่กำหนดไว้  โดยสรุปผลการทำงานแต่ละช่วง  แล้วเสนอแนวทางการปรับปรุงการทำงานขั้นต่อไป ปรับปรุงให้ดีขั้นอยู่เสมอ   ผู้เรียนนำผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอนมาเป็นแนวทางในการพัฒนางานให้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประเมินผลรวมเพื่อให้เกิดความภูมิใจ  ผู้เรียนสรุปผลการดำเนินงาน  โดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้  และผลพลอยได้อื่น ๆ ซึ่งอาจเผยแพร่ขยายผลงานแก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
CIPPA Model โดยทิศนา แขมมณี
                C = Construction of knowledge  การสร้างความรู้ด้วยตนเอง
                I  = Interaction   การมีปฏิสัมพันธ์
                P = Process skills  ทักษะกระบวนการ
                P = physical participation  มีการเคลื่อนไหวร่างกาย
                A = Application  การนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้
                มีแนวคิดมาจาก 1)หลักการสร้างความรู้  2) หลักกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ  3) หลักความพร้อมในการเรียนรู้  4) หลักการการเรียนรู้กระบวนการ  และ 5) หลักการถ่ายโอนการเรียนรู้  
                ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด   โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง  (C) และการมีปฏิสัมพันธ์ (I) กับเพื่อน บุคคลอื่น และสิ่งแวดล้อมรอบตัวหลาย ๆ ด้าน  โดยใช้ทักษะกระบวนการต่าง ๆ (P)   จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้  เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะกระบวนการ  และเรียนรู้สาระในแง่มุมที่กว้างขึ้น  ซึ่งจะเกิดขึ้นได้หากผู้เรียนอยู่ในสภาพที่มีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้  มีประสาทการรับรู้ที่ตื่นตัว  ไม่เฉื่อยชา  และสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้คือ การให้ผู้เรียนมีการเคลื่อนไหวทางกาย (P)  อย่างเหมาะสม    กิจกรรมที่หลากหลาย  ทำให้ผู้เรียนตื่นตัวอยู่เสมอ  จึงสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี   แต่การเรียนรู้นั้นจะมีความหมายต่อตนเอง  และความรู้ความเข้าใจนั้นจะมีความลึกซึ้งและอยู่คงทนมากเพียงใดนั้นต้องอาศัยการถ่ายโอนการเรียนรู้  หากผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ (A) ในสถานการณ์ที่หลากหลาย  ความรู้นั้นก็จะเป็นประโยชน์และมีความหมายมากขึ้น 
CIPPA Model  มีขั้นตอนการดำเนินการสอน 7 ขั้น ดังนี้
1.การทบทวนความรู้เดิม   ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน  ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย
2.การแสวงหาความรู้ใหม่   ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ  ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้
3.การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม  ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษา และทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้   ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ   โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด  กระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
4.การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน  รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น  ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเองแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้  ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน
5.สรุปจัดระเบียบความรู้ และวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้  ขั้นนี้เป็นขั้นตอนการสรุปความรู้ได้รับทั้งหมด  ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่  และจัดสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย  รวมทั้งวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ทั้งหลายที่เกิดขึ้น
6.การปฏิบัติ และ/หรือ การแสดงผลงาน  เป็นขั้นที่เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้จนสรุปจัดความรู้เป็นระเบียบแล้ว เมื่อเป็นความรู้ที่ต้องนำไปปฏิบัติต่อ จึงปฏิบัติต่อในขั้นนี้  และแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย แต่หากเป็นความรู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ  ขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับรู้  ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
7.การประยุกต์ใช้ความรู้  เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์จริง ๆ ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น ๆ

Comments

Popular posts from this blog

ทฤษฎีพื้นฐานทางการศึกษา

ลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน 4 แบบ