ทฤษฎีพื้นฐานทางการศึกษา

การศึกษา หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ทักษะและทัศนคติของคนรุ่นก่อนให้กับอนุชนรุ่นหลังของสังคม  เพราะอนุชนรุ่นหลังคงไม่อาจเติบโตไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ถ้าไม่ได้ดูดซับความเชื่อเกี่ยวกับโลกทัศน์ และ   ทักษะในการดำรงชีวิตและแก้ปัญหาของผู้ใหญ่ก่อนที่การศึกษาจะกลายมาเป็นกระบวนการสำคัญที่
ต้องกระทำด้วยความตั้งใจและเป็นทางการและเป็นระบบ
ความหมายของทฤษฎี
ทฤษฎี คือข้อสมมติต่าง ๆ (Assumptions) หรือข้อสรุปเป็นกฎเกณฑ์ (Generalization) Herbert Feigl ได้ให้ความหมายของทฤษฎีไว้ว่า “ทฤษฎีเป็นข้อสมมติต่าง ๆ ซึ่งมาจากกระบวนการทางตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์”   Kneller  ได้ให้ความหมายของทฤษฎีไว้เป็น    2  ความหมายด้วยกัน  คือ หมายถึง   ข้อสมมติ
ฐานต่าง ๆ (Hypothesis) ซึ่งกลั่นกรองแล้วจากการสังเกตหรือการทดลอง  หมายถึง ระบบของความคิดต่าง ๆ ที่นำปะติดปะต่อกัน (Coherent)   D.J. O’Connor ได้ให้คำจำกัดความของทฤษฎีไว้เป็น 4 ลักษณะด้วยกัน คือ   เป็นข้อสมมติฐานต่าง ๆ ที่กลั่นกรองแล้วโดยหลักของตรรกวิทยา  เป็นการนำเอาความคิดรวบยอดมารวมกันเป็นโครงสร้าง   เป็นสาระที่เกี่ยวกับปัญหา   เป็นการกำหนดเงื่อนไขหรือกฎต่าง ๆ   เพื่อควบคุม
พฤติกรรมบางอย่าง
                ทฤษฎีการศึกษา   คือ   การผสมผสานทฤษฎีการศึกษาต่างๆ (Eclecticism) การประยุกต์เอาหลักการและทฤษฎีทางการศึกษาไปใช้เป็นหลักในการจัดการศึกษานั้นกระทำกันหลายวิธี โดยทั่วไปมักจะใช้วิธีผสมผสานโดยเลือกสรรหลักการที่ดีของหลายทฤษฎีที่พอจะประมวลเข้าด้วยกันได้โดย ไม่ขัดแย้งกัน มาใช้เป็นแนวการจัดการศึกษา
ปรัชญาทางการศึกษา  เป็นสิ่งกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษา หรือเป้าหมายของการศึกษาที่กำหนดให้ผู้เรียนมีลักษณะเป็นอย่างไร
กล่าวได้ว่า ปรัชญาของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544  มีเป้าหมายเพื่อสร้างคนไทยให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพพร้อมที่จะแข่งขัน      และร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในเวทีโลกได้ เพื่อให้การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปตามแนวนโยบายการจัดการศึกษาของประเทศ จึงกำหนดหลักการของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไว้ดังนี้
  1.   เป็นการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มุ่งเน้นความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
  2.   เป็นการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนจะได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
  3.   ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยถือว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ
  4.   เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระ เวลา และการจัดการเรียนรู้
  5.   เป็นหลักสูตรที่จัดการศึกษาได้ทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
“ปรัชญา”  มาจากคำ 2 คำ  คือ  “ปร+ชญา”  คำว่า  ปร  แปลว่า  โดนรอบ  กว้าง  ไกล  ส่วนคำว่า  ชญา  แปลว่า  ความรู้  คำว่า  ปรัชญา  มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Philosophy  เป็นคำที่มาจากภาษากรีกว่า  Philosophia   ซึ่งเป็นการสนธิคำระหว่าง Philos กับ Sophia  เมื่อรวมความแล้วจะแปลว่า  ความรักในความรู้(Love of Wisdom)   ปรัชญามีส่วนช่วยกำหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษาเพื่อให้ได้แนวทางการจัดการศึกษาที่ดีที่สุด  และเป็นสิ่งกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษาหรือเป้าหมายของการศึกษาที่กำหนดให้ผู้เรียนมีลักษณะเป็นอย่างไร
ปรัชญาการศึกษา
เป็นปรัชญาที่แตกหน่อมาจากปรัชญาแม่บทหรือปรัชญาทั่วไปที่ว่าด้วยความรู้ความจริงของชีวิต    หากบุคคลมีความเชื่อว่า    ความจริงของชีวิตเป็นอย่างไรปรัชญาการศึกษาจะจัดการ
ศึกษาพัฒนาคนและพัฒนาชีวิตให้เป็นไปตามนั้น  ส่วนการจัดการเรียนการสอนก็จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักปรัชญาการศึกษานั้นๆ ดังนั้นการศึกษาเรื่องการเรียนการสอนว่าควรจะเป็นอย่างไร  จึงต้องศึกษาถึงที่มา  คือ  ปรัชญาด้วย    “การจัดการศึกษาโดยไม่มีปรัชญาการศึกษาเป็นแนวทาง  ก็เป็นเสมือนเรือที่แล่นไปในท้องทะเลโดยไม่มีหางเสือ”
ปรัชญาสากลที่มีความสำคัญและถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาของไทยประกอบด้วย 4 ปรัชญา  ได้แก่
  1.   จิตนิยม(Idealism)
  2.   วัตถุนิยม(Materialism) หรือประจักษ์นิยม(Realism)
  3.  ประสบการณ์นิยม(Experimentalism)  หรือปฏิบัตินิยม(Pragmatism)
  4.  อัตนิยม(Existentialism)
ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
  1.  จิตนิยม(Idealism)  ปรัชญาจิตนิยมเป็นปรัชญาสาขาเก่าแก่ที่สุด  ปรัชญาเมธีผู้ให้กำเนิดปรัชญาสาขานี้  คือ  พลาโต(Plato)  นักปรัชญาชาวกรีกผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 427 – 347 ก่อนคริสตกาล  ชื่อปรัชญาสาขานี้คือ  Idealism  มาจากคำว่า Idea – ism  เติมตัว l เพื่อสะดวกแก่การออกเสียง  ปรัชญาสาขานี้มีลักษณะเป็นจิตนิยม  มีความเชื่อว่า  โลกนี้เป็นโลกของจิตใจ(A World of Mind)  จิตใจนั้นอยู่เหนือวัตถุ  ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจมิใช่อยู่ที่วัตถุภายนอก   จึงให้ความสำคัญกับความสุขทางใจ   มากกว่าความสุขทางกาย ทัศนะ
ของพลาโตในด้านการศึกษา  คือ  การให้ความเจริญเติบโต  เน้นการอบรมจิตใจให้มีระเบียบวินัย  และให้รู้จักการใช้ความคิดอย่างมีระบบระเบียบ  การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้มีลักษณะดังนี้
–  ความเชื่อของครูตามปรัชญานี้  เชื่อว่า  “การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับการหยั่งเห็น(Insight)” ความรู้เกิดจากการคิด  หรือการทำงานของจิต  หรือประสาทสัมผัสทางใจ  ดังนั้นครูจึงมุ่งพัฒนาจิตใจของผุ้เรียนเป็นสำคัญ
โดยเน้นคุณธรรมความดี  ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีสันติสุข
–  วิธีการสอน  จะมุ่งสอนให้ผู้เรียนแสวงหาความสุขทางใจ  มากกว่าแสวงหาวัตถุ  เน้นการใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อในการเรียนการสอน  กิจกรรมการเรียนการสอนจึงเกี่ยวกับการใช้สื่อสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่  ซึ่งได้แก่  การฟัง  และการจดจำ  ครูมักจะใช้วิธีการสอนแบบบอกเล่า  บรรยาย  ยกตัวอย่างอ้างอิงด้วยนิทาน  เพื่อเปรียบเทียบให้เกิดความเข้าใจ  มากกว่าใช้วิธีการอื่นๆ  สอนให้จำให้คิดอย่างมีเหตุผลมากกว่าจะให้ทำการพิสูจน์หรือปฏิบัติจริง     เพราะเชื่อว่าความรู้เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม   มิใช่รูปธรรม   จึงไม่อาจมอง
เห็นด้วยตา  การได้มาซึ่งความรู้ต้องใช้การคิดหรือการไตร่ตรองเท่านั้น   และในบางครั้งสิ่งที่เห็นด้วยสายตา
มิใช่สิ่งที่เป็นจริงเสมอไปอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตา  การยึดติดอยู่กับภาพลวงตาหรือสิ่งที่มองเห็นด้วยสายตาทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความจริงหรือความรู้อันถูกต้อง  การเรียนการสอนจะเน้นการเรียนในห้อง
เรียน และห้องสมุดมากกว่าการศึกษานอกสถานที่หรือทัศนศึกษา
–  ตัวผู้เรียน  ครูจะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของการสอน(Teacher Center)  มากกว่ายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการสอน  ดังนั้น  ครูจะเป็นผู้แสดง  นักเรียนเป็นผู้ดู  ครูเป็นผู้พูด  นักเรียนเป็นผู้ฟัง  เพราะเชื่อว่า  การเรียนรู้ของเด็ก  เกิดจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่  จึงนิยมบังคับให้เด็กท่องจำในสิ่งที่ครูคิดว่าดี  มีประโยชน์  ซึ่งเด็กอาจจะเบื่อเพราะมองเห็นประโยชน์  เนื่องจากสิ่งที่เรียนรู้เป็นนามธรรมและอยู่ไกลตัวเด็กเกินไป
กล่าวโดยสรุป  คือ  การเรียนการสอนตามแนวจิตนิยม  จะเน้นความรู้ที่ได้มาจากการฟัง(สุตมยปัญญา) และความรู้ที่ได้มาจากการคิด(จินตมนปัญญา)  ตามหลักในพุทธศาสนาหรือเน้นการเรียนรู้ที่ผ่านประสาทสัมผัสทางใจนั่นเอง
  1.  วัตถุนิยม(Materialism) หรือประจักษ์นิยม(Realism) ปรัชญาวัตถุนิยมหรือประจักษ์นิยมเป็นปรัชญาอีกสาขาหนึ่งที่มีต้นเค้าความคิดมาจากปรัชญาสมัยกรีก  ผู้ที่เป็นปรัชญาเมธีที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น  บิดาแห่งวัตถุนิยม คือ  แอริสโตเติล(Aristotle)  นักปรัชญาชาวกรีกผุ้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 384 – 322 ปี ก่อนคริสตกาล  ปรัชญาวัตถุนิยม  มีความเชื่อว่าโลกใบนี้เป็นโลกของวัตถุ(A World of Things)  วัตถุย่อมอยู่เหนือจิตใจ  ปรัชญาสาขานี้จึงให้ความสำคัญกับความสุขทางกายที่ได้จากวัตถุมากกว่าความสุขทางใจทัศนะ
ของแอริสโตเติลในด้านการศึกษาแตกต่างจากพลาโต  แอริสโตเติลเห็นว่าการใคร่ครวญหาเหตุผลด้วยจิตใจอย่าง เดียวไม่เพียงพอจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามธรรมชาติด้วย  เป็นการมองโลกทางด้านวัตถุและเป็นการเริ่มต้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์  การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้มีลักษณะดังนี้
–   ความเชื่อของครูตามปรัชญานี้  เชื่อว่า  “การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับการมองเห็น”  เพราะความรู้เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองเห็น  หรือเกิดจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม  รับรู้ได้โดยประสาทสัมผัสทางกาย  คือ  ตา  หู  จมูก
ลิ้น  กาย  ครูจะมุ่งสอนให้นักเรียนแสวงหาวัตถุ  เช่น  วิชาชีพต่างๆ  สอนให้รู้จักทำมาหากินมากกว่าปลูกฝังคุณธรรมความดี  ให้ความสำคัญกับวัตถุหรือการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าสิ่งอื่น  เพราะเชื่อว่า  ถ้าคนเรามีกินมีใช้ คงไม่มีใครคิดเป็นโจรเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง
–  วิธีการสอน  เน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสทางกายและสิ่งที่เป็นรูปธรรม  มากกว่านามธรรม   วิธีการสอนจึงมักจะใช้วิธีการสาธิต (Demonstation)  โดยใช้อุปกรณ์การสอนต่างๆ  เช่น  ของจริง  รูปภาพ  การศึกษานอกสถานที่  เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยไม่ต้องท่องจำ  จะให้ความสำคัญกับวิชาที่มุ่งพัฒนาความเจริญทางวัตถุมากกว่ามุ่งพัฒนาจิตใจ
–   ตัวผู้เรียน  ครูยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของการสอนมากกว่ายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการสอน  ครูจะเป็นผู้แสดง  นักเรียนเป็นผู้ดู  ใช้การบอกเล่า  บรรยายหรือการให้นักเรียนท่องจำจะมีน้อยลงแต่จะใช้การสาธิตหรือทดลองให้ดู  มีอุปกรณ์ของจริงหรือรูปภาพให้นักเรียนเห็นแต่ผู้สาธิตหรือทดลองเป็นครูมิใช่นักเรียน  ความสามารถของครูในการสาธิต  การอธิบายและการใช้อุปกรณ์การสอนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างมาก
กล่าวโดยสรุป  คือ  การเรียนการสอนตามแนววัตถุนิยม  เน้นความรู้ที่ได้มาจากประสาทสัมผัสทางกายโดยเฉพาะการดูเป็นหลัก
  1.   ประสบการณ์นิยม(Experimentalism)  ปฏิบัตินิยม(Pragmatism) หรืออุปกรณนิยม(Instrumentalism)  ปรัชญาประสบการณ์นิยมเป็นปรัชญาที่แพร่หลายทั่วไปในวงการปรัชญาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา  นับว่าเป็นผลผลิตทางความคิดที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาสมัยใหม่ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก  ปรัชญาเมธีที่เป็นผุ้บุกเบิกปรัชญานี้มี 2 ท่าน คือ เจมส์(William James)  และดิวอี้(John Dewey)    ปรัชญาสาขานี้มีความเชื่อว่า  โลกใบนี้  คือ โลกของประสบการณ์(A World of Experience)  ชีวิตคือการเดินทางเพื่อแสวงหาประสบการณ์  ในโลกนี้ไม่มีสิ่งมีค่าใดมีค่าเท่ากับการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ  ความสุขของคนเรา  คือ  การได้พบกับประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆที่ท้าทายความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง ทัศนะของดิวอี้เห็นว่า  มนุษย์จะรับความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ จากประสบการณ์เท่านั้น  การเรียนรู้ที่จะก่อให้เกิดประสบการณ์ที่เหมาะสม คือ  การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป้นวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอน  โดยผู้เรียนจะต้องมีการทำกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย  การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้มีลักษณะดังนี้
–  ความเชื่อของครูตามปรัชญานี้  เชื่อว่า  “การเรียนรู้ต้องควบคู่ประสบการณ์”  เพราะวิชาการต่างๆ สอนกันได้  แต่ประสบการณ์สอนกันได้  ดังนั้น  ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อให้เด้กเกิดประสบการณ์  เพราะเด็กเป็นผู้อ่อนต่อโลกหรืออ่อนประสบการณ์  ความรู้ที่แท้จริงเกิดจากประสบการณ์ตรงหรือการลงมือกระทำจริงๆ มิใช่เกิดจากการฟัง  การดู  หรือการนึกคิดอย่างในปรัชญาจิตนิยมหรือวัตถุนิยม  คนที่มีประสบการณ์มากจึงฉลาดมาก  สามารถเอาตัวรอดและอยู่เป็นสุขในสังคม
–   การเรียนการสอน  มีลักษณะสำคัญ คือ  เน้นการเรียนโดยวิธีการแก้ปัญหา(Problem solving)  ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง(Learner Centered Learning)  และเรียนรู้ในขณะที่นำความรู้นั้นๆ มาใช้(Learning While Using Knowledge)  จัดกิจกรรมการทดลองค้นคว้า  ฝึกแก้ไขปัญหาด้วยตนเองและการลงมือปฏิบัติจริง  เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง  เช่น  การสอนด้วยวิธีการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์  โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้  มากกว่าการท่องจำเนื้อหาวิชา  เพราะเนื้อหาวิชาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  และเนื้อหาวิชาต่างๆนั้น  มีมากมายเกินกว่าที่จะจดจำรายละเอียดได้หมด  ขอเพียงผู้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ก็พอ  กล่าวคือ  สอนให้รู้จักวิธีการตกปลา  มิใช่นำปลาไปให้หรือเน้นกระบวนการแสวงหาความรู้(Process)  มากกว่าตัวความรู้(Product)
–   ตัวผู้เรียน  การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงประสบการณ์เก่ากับประสบการณ์ใหม่ของผู้เรียน  นักเรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ  โดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะเท่าที่จำเป็น  ครูจะไม่พูดหรือสอนอะไรมาก  แต่จะจัดกิจกรรมต่างๆ  หรือสร้างสถานการณ์จำลองแล้วให้นักเรียนใช้ประสบการณ์เดิมมาแก้ปัญหา  เพื่อการค้นพบประสบการณ์ใหม่ที่จะเป้นคำตอบของปัญหานั้นๆ  ครูที่เก่งที่สุด  คือ  ครูที่สอน(พูด) น้อยที่สุดแต่นักเรียนเรียนรู้ได้น้อยที่สุด   กล่าวโดยสรุป  คือ  การสอนตามแนวประสบการณ์นิยมจะเน้นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง(Learning by Doing) เรียนรู้ด้วยตนเองจากประสบการณ์จริง  หรือจากประสบการณ์ตรง(Direct Experience)
  1.  อัตนิยม(Existentialism)  ปรัชญาอัตนิยมเป็นปรัชญาสาขาที่เกิดใหม่ที่สุด  เป็นผลิตผลทางความคิดในศตวรรษที่ 20 นี้เอง  ปรัชญาเมธีผู้ให้กำเนิดปรัชญาสาขานี้เป็นนักปรัชญาและศาสนาชาวเดนมาร์ค  ชื่อว่า  คีร์เคกอร์ด(Soren Kiekegaard) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ.1844-1900  ปรัชญาสาขานี้มีความเชื่อว่า  โลกนี้เป็นโลกส่วนตัว(A World of Individual)  มนุษย์เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพในตัวเอง  จึงเป็นผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง  ความสุขเกิดจากการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ  มนุษย์ไม่ควรตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม  เช่น  ประเพณี  วัฒนธรรม  หรือกฏเกณฑ์ต่างๆในสังคม  แต่ควรมีอิสะรภาพในการตัดสินใจเลือกหนทางของชีวิตด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องมีใครมาบงการ  ด้วยการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางทุกเรื่อง  หากสิ่งที่ตนกระทำนั้นมิได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและขอให้ปัจจุบันตนมีความสุขก็พอ
การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้มีลักษณะดังนี้
–   ความเชื่อของครูตามปรัชญานี้  เชื่อว่า  “การเรียนรู้ต้องเริ่มต้นที่ตนเอง”  จึงมุ่งพัฒนาศักยภาพของนักเรียนแต่ละคนตามความถนัดหรือความสามารถ  บนพื้นฐานของความแตกต่างระหว่างบุคคล  เพราะคนแต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน  ดังนั้น  ไม่ควรบังคับให้เด็กทุกคนเรียนเหมือนกัน  เพราะทำลายความเป็นตัวของตัวเองของเด็ก  ซึ่งตรงกับความหมายของการศึกษา(Education)  ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า Educare  แปลว่า  การนำออก  เพราะจุดมุ่งหมายของการศึกษา  คือ  การดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนออกมา หรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกซึ่งความสามารถของตนเองอย่างอิสระนั่นเอง
–  วิธีการสอน  จะสอนให้นักเรียนเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด  เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลหรือเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนคิดอย่างอิสระไม่ควรคิดหรือทำอะไรตามผู้อื่น  ให้อิสระในการเลือกวิชาเรียนตามความถนัดหรือความสนใจ  บรรยกาศในชั้นเรียนจะเต็มไปด้วยเสีภาพ  ครูจะไม่ดุว่านักเรียน  นักเรียนอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่มีการบังคับเพราะครูจะสอนก็ต่อเมื่อนักเรียนพร้อมที่จะเรียน  ครูจะให้นักเรียนปกครองกันเอง  ระเบียบวินัยต่างๆ ไม่ได้มาจากครูแต่นักเรียนเป็นผู้ช่วยกันกำหนดขึ้นมาเองตามความพอใจ
–  ผู้เรียน  ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียน  โดยให้เด็กเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ  ส่วนครูเป็นผู้ดูหรือพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำปรึกษา  ถ้าเด็กต้องการ  นักเรียนจะมีอิสระเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการคิดตัดสินใจด้วยตนเอง  กล่าวโดยสรุป  คือ  การสอนตามแนวอัตนิยม  จะให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเลือกทำกิจกรรมต่างๆ ตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคน  โดยไม่มีการบังคับเพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นพบตนเอง  การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาอัตนิยมจึงเป็นการศึกษาที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางมากที่สุด นอกจากปรัชญาที่เป็นสากลแล้ว ยังมีปรัชญาที่เกี่ยวกับการศึกษาและบริบทของสังคมไทย  ดังนี้
  1.  ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรม  โดยพระธรรมปิฏก  ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าการศึกษาเป็นกิจกรรมของชีวิต  เป็นกระบวนการที่ช่วยให้มนุษย์แสวงหาจุดหมายให้ชีวิตว่า  ชีวิตควรอยู่เพื่ออะไรและอย่างไร  การจัดการศึกษาตามปรัชญานี้ใช้หลักไตรสิกขา  อันได้แก่ 1)  ศีล  คือ การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง  รู้จักยับยั้งควบคุมตัณหาให้อยู่ในขอบเขตและสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี  ทำให้บุคคลอยู่ในภาวะปรอดโปร่งโล่งใจ  2)  สมาธิ  คือ  การวางใจแน่วแน่  มั่นคง  หนักแน่น  ซึ่งองค์ประกอบทั้ง  2 ประการดังกล่าวจะนำให้บุคคลเกิดปัญญา  3) ปัญญา  คือ  การเห็นแนวทางแก้ปัญหาปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม  เป็นแนวทางที่เป็นไปเพื่อความดำรงชีวิตอยู่ด้วยดีร่วมกัน  การจัดการศึกษาด้วยหลักไตรสิกขาดังกล่าวจะเป็นไปได้ดี  จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะกัลยาณมิตรที่ดี  และปัจจัยภายใน  คือ  โยนิโสมนสิการ  อันได้แก่  การคิดอันแยบคายหรือการคิดอย่างถูกวิธี
  2.  ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า  การศึกษาเป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาชีวิตของแต่ละบุคคลและพัฒนาประเทศชาติโดยส่วนรวม  การศึกษาต้องมุ่งพัฒนาและเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่  พัฒนาศักยภาพของผู้เรียน  มุ่งสร้างปัญญาและคุณลักษณะของชีวิต  การจัดการศึกษาจึงควรมุ่งเน้นที่การศึกษาด้านวิชาการ  โดยการต่อยอดความรู้ควบคู่ไปกับการฝึกฝนขัดเกลาทางความคิด  ความประพฤติ  คุณธรรม  โดยให้มีความเข้าใจในหลักเหตุผล  มีความซื่อสัตย์สุจริต  รู้จักรับผิดชอบและตัดสินใจในทางเลือกที่ถูกต้องเป็นธรรม  และควรให้มีการเรียนรู้ทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติควบคู่กันไป  โดยเน้นการเรียนรู้แบบสหวิทยาการและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย  ดังนั้น  จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาชนจะต้องได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตไปอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
  3. ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรมจากการวิเคราะห์ของสาโรช  บัวศรี  เน้นการสร้างปรัชญาการศึกษาไทยจากพระพุทธศาสนา  โดยให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง  สิ่งแวดล้อมและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อม  โดยให้เรียนวิชาต่างๆเพื่อจะได้พบว่าตนเองถนัดอะไร  มีศักยภาพไปในทางใดและต้องมีการเรียน “จริยศึกษา”   เพื่อควบคุมไม่ให้ปฏิสัมพันธ์นั้นเป็นไปในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร  ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวทางนี้เน้นกระบวนการจัดการเรียนตามหลักพุทธธรรม  ได้แก่   การสอนตามขั้นทั้ง 4 ของอริยสัจ  ซึ่งได้แก่  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  อันเป็นขั้นตอนที่คล้ายกันกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญาการศึกษาเป็นความคิด  ความเชื่อถือที่ใช้เป็นหลักในการคิด  และการจัดหลักสูตรและการสอนให้แก่ ผู้เรียน  ดังนั้น  ผู้ที่เป็นครูซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน  จึงจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องของปรัชญาการศึกษาด้วย  ทิศนา  แขมมณี (2548) ได้ทำการสรุปปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาไว้  2  ประการ ดังนี้
  4.  ครูส่วนใหญ่ตอบคำถามไม่ได้ว่า  เหตุใดจึงจัดการเรียนการสอนแบบที่ทำอยู่  ทำไมจึงทำอย่างนี้  ทำไมไม่สอนแบบอื่น  หรือถ้ายิ่งถามตรงๆ ว่า  ครูใช้ปรัชญาหรือหลักการอะไรในการสอน  ครูมักจะตอบไม่ได้   ทั้งๆที่ได้ทำไปแล้ว  ความจริงก็คือ  ครูส่วนใหญ่ปฏิบัติการสอนไปตามที่เคยได้รับการศึกษาเล่าเรียนมาและฝึกฝนมา  เคยเห็น  เคยทำอย่างไร  ก็ทำตามนั้น  โดยไม่ตระหนักว่า  สิ่งที่ทำนั้นมาจากหลักการหรือฐานความคิดอะไร  เพราะครูเหล่านั้นมักมุ่งความสนใจ  หรือได้รับการสอนที่มุ่งไปที่วิธีการทำ  วิธีการปฏิบัติ  หรือเทคนิควิธีการมากกว่าการทำความเข้าใจในพื้นฐานหลักการของเทคนิควิธีการเหล่านั้น  ซึ่งทำให้การจัดการเรียนการสอนของครูมักอยู่ในรูปแบบของการเลียนแบบ  ไม่สามารถยืดหยุ่นการสอนของตนให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้และไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นให้งอกงามได้  เพราะขาดหลักที่มั่นคง  จะผิดกับครูที่ปฏิบัติโดยแม่นในหลักการ  เขาจะสามารถแก้ปัญหา  ปรับการสอน  ใช้เทคนิควิธีการอื่นๆ ที่นอก
เหนือจากแบบอย่างที่เห็นเคยได้รับมา  หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งยังอยู่บนหลักการเดียวกันได้
  1.  ในทางตรงกันข้ามกับข้อแรก  ครูบางคนบอกว่าตนมีความเชื่อ  เห็นดีเห็นงามกับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง  และสอนตามแนวคิดนั้น  แต่ปรากฏว่า  พฤติกรรมในการสอนตลอดจนการกระทำหลายๆอย่างของครูกลับไม่เป็นไปอย่างสอดคล้องกับแนวคิดนั้น  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ  ครูรู้ว่า  ครูควรมีคุณสมบัติของความของความเป็นประชาธิปไตย  ครูควรรับฟัง  ยอมรับความคิดเห็นของผู้เรียน  เคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน  และควรฝึกให้ผู้เรียนมีคุณสมบัติดังกล่าวด้วย  แต่ปรากฏว่า  ครูมีการกระทำหลายอย่างที่เป็นไปในทางตรงกันข้าม  เช่น  เมื่อผู้เรียนเสนอความคิดที่ไม่ตรงกับความคิดเห็นของตน  ก็แสดงกิริยาท่าทางที่ไม่พอใจ  บางครั้งก็เผลอใช้วาจาดูถูกผู้เรียนที่เรียนอ่อนและแสดงความไม่พอใจ
สนับสนุนผู้เรียนที่เรียนเก่ง  โดยปฏิบัติต่อผู้เรียนอย่างไม่เสมอภาค  ยุติธรรม  ปัญหาลักษณะนี้  เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น  เนื่องจากการศึกษาเล่าเรียนหรือการรับรู้ในแนวคิดใดๆ นั้น  แม้จะสามารถปลูกฝังความคิด  ความเชื่อต่างๆได้  แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้เต็มที่ว่าจะช่วยให้บุคคลนั้นมีความเชื่อถือศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริง  จนกระทั่งการกระทำต่างๆ ของตนมีความสอดคล้อง
กลมกลืน  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความเชื่อของตนนั้น  ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง  ที่สำคัญ คือ  เวลา
ประสบการณ์  บทพิสูจน์  ผลที่ได้รับ ฯลฯ  ซึ่งสามารถช่วยปรับระดับความเชื่อให้มากขึ้นหรือลดลงได้แล้วแต่กรณี  ปรัชญาการศึกษาเป็นที่มาหรือหลักยึดในการจัดการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนของครู  ครูควรให้ความสนใจในหลักการมิใช่มุ่งความสนใจไปที่เทคนิควิธีการสอนเท่านั้น  ครูพึงศึกษาแนวคิด
ความเชื่อหรือหลักการต่าง ซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลายและเลือกสรรสิ่งที่ตนเชื่อถือ  หมั่นวิเคราะห์การคิดและการกระทำของตนว่าสอดคล้องกันหรือไม่  เปิดโอกาสให้ตนเองได้มีประสบการณ์ในสิ่งที่แตกต่างออกไปเพื่อพิสูจน์ทดสอบแนวคิดใหม่ๆอันอาจจะนำมาซึ่งทางเลือกใหม่  ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   นอกจากนั้นแล้วสถาบันที่ผลิตครูควรสอนโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้หลักการให้แม่นมิใช่มุ่งเน้นแต่เทคนิคของการปฏิบัติเนื่องจากการปฏิบัติและการแก้ปัญหาโดยขาดความรู้  ความเข้าใจและความเชื่อในหลักการแล้วย่อมจะเกิดปัญหาในภายหลัง
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ จอง พีอาเจต์
จิตวิทยาพัฒนาการ(Developmental Psychology)     เป็นการค้นคว้าถึงการเจริญเติบโต  และพัฒนา
การของมนุษย์ ตังแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงวัยชรา รวมทั้งอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการและลักษณะความต้องการ ความสนใจของคนในวัยต่างๆ ซึ่งอาจแบ่งเป็นจิตวิทยาเด็กจิตวิทยาวัยรุ่น และจิตวิทยาวัยผู้ใหญ่
ทฤษฎีพัฒนาการเชาน์ปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์เชื่อว่าคนเราทุกคนตั้งแต่เกิดมาพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และโดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นผู้พร้อมที่ จะมีกริยากรรมหรือเริ่มกระทำก่อน (Active) นอกจากนี้เพียเจต์ถือว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด 2 ชนิด คือ การจัดและรวบรวม(Oganization) และ การปรับตัว(Adaptation) ซึ่งอธิบายดังต่อไปนี้
1. การจัดและรวบรวม (Oganization) หมายถึง การจัดและรวบรวมกระบวนการต่างๆภายใน เข้าเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง เป็นระเบียบ แและมีการปรับปรุงเปลียนแปลงอยู่ตลอดเวลาตราบที่ ยังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
2. การปรับตัว (Adaptation) หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่ออยู่ในสภาพสมดุล การปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการ 2 อย่าง คือ
2.1   การซึมซาบหรือดูดซึม (Assimilation)   เมื่อมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมก็จะซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ใหม่ ให้รวมเข้าอยู่ในโครงสร้างของสติปัญญา(Cognitive Structure) โดยจะเป็นการตีความ หรือการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม
2.2    การปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accomodation)   หมายถึง การเปลี่ยนแบบโครงสร้างของเชาว์ปัญญาที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่ หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่ซึ่งเป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญา  เพียเจต์ยังกล่าวอีกว่า ระหว่างระยะเวลาตั้งแต่ทารกจนถึงวัยรุ่น คนเราจะค่อยๆสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นตามลำดับขั้น โดยเพียเจต์ได้แบ่ง ลำดับขั้นของพัฒนาการเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ ไว้4 ขั้น ซึ่งเป็นขั้นพัฒนาการเชาวน์ปัญญา ดังนี้
  1. ขั้นใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (sensorimotor period)อายุ 0- 2 ปีเป็นขั้นพัฒนาการทางความคิดและสติปัญญาก่อนระยะเวลาที่เด็กจะพูดเป็นภาษาได้การแสดงถึงความคิด และสติปัญญาของเด็กวัยนี้จะเป็นในลักษณะของการกระทำหรือการแสดงพฤติกรรมต่างๆซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหว เป็นลักษณะของปฏิกิริยาสะท้อน เช่น การดูด การมอง การไขว่คว้ามีพฤติกรรมน้อยมากที่แสดงออกถึงความเข้าใจ เพราะเด็กยังไม่สามารถแยกตนเองออกจากสิ่งแวดล้อมได้ตัวตนของเด็กยังไม่ได้พัฒนาจนกว่าเด็กจะได้รับประสบการณ์ ทำให้ได้พัฒนาตัวตนขึ้นมาแล้วเด็กจึงสามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้จนกระทั่งเด็ก
อายุประมาณ18 เดือนจึงจะเริ่มแก้ปัญหาด้วยตนเองได้บ้างและรับรู้เท่าที่สายตามองเห็น
2. ขั้นเริ่มมีความคิดความเข้าใจ  (pre-operational period)  อายุ  2-7  ปีเด็กวัยนี้เป็นวัยก่อนเข้าโรงเรียน และวัยอนุบาล ยังไม่สามารถใช้สติปัญญากระทำสิ่งต่าง ๆได้อย่างเต็มที่ ความคิดของเด็กวัยนี้ขึ้น
อยู่กับการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถใช้เหตุผล อย่างลึกซึ้งได้วัยนี้เริ่มเรียนรู้การใช้ภาษา และสามารถใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ พัฒนาการวัยนี้แบ่งได้เป็น 2 ขั้นคือ
2.1 ขั้นกำหนดความคิดไว้ล่วงหน้า (preconceptual thought) อายุ 2-4 ปีระยะนี้เด็กจะมีพัฒนาด้านการใช้ภาษา    รู้จักใช้คำสัมพันธ์กับสิ่งของ   มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ   ได้แต่ยังไม่สมบูรณ์ ไม่มีเหตุผล คิดเอาแต่ใจตัวเอง อยู่ในโลกแห่งจินตนาการชอบเล่นบทบาทสมมติตามจินตนาการของตนเอง
2.2 ขั้นคิดเอาเอง (intuitive thought) อายุ 4-7 ปี ระยะนี้เด็กสามารถคิดอย่างมีเหตุผลขึ้นแต่การคิดยังเป็นลักษณะการรับรู้มากกว่าความเข้าใจ จะมีพัฒนาการรับรู้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เป็นหมวดหมู่ ทั้งที่มีลักษณะคล้ายคลึงและแตกต่างกัน ลักษณะพิเศษของวัยนี้คือเชื่อตัวเองโดยไม่ยอมเปลี่ยนความคิด หรือเชื่อในเรื่องการทรงภาวะเดิมของวัตถุ (conservation) ซึ่งเพียเจท์เรียกว่าprinciple of invaiance
3. ขั้นใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลเชิงรูปธรรม (concrete operational period ) อายุ 7-11ปี ระยะนี้เด็กจะมีพัฒนาการทางความคิดและสติปัญญาอย่างรวดเร็วสามารถคิดอย่างมีเหตุผลแบ่งแยกสิ่งแวดล้อมออก
เป็นหมวดหมู่ลำดับขั้น จัดเรียงขนาดสิ่งของ และเริ่มเข้าใจเรื่องการคงสภาพเดิมสามารถนำความรู้หรือประสบการณ์ในอดีตมาแก้ปัญหาเหตุการณ์ใหม่ ๆ ได้ มีการถ่ายโยงการเรียนรู้(transferoflearning)แต่ปัญหาหรือเหตุการณ์นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมส่วนปัญหาที่เป็นนามธรรมนั้นเด็กยังไม่สามารถแก้ได้
4. ขั้นใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลเชิงนามธรรม (formal operational period) อายุ 11-15 ปี ขั้นนี้เป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดความคิดแบบเด็ก ๆ จะสิ้นสุดลงจะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่สามารถคิดแก้ปัญหาที่เป็นนามธรรมด้วยวิธีการหลากหลาย รู้จักคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์สามารถตั้ง
สมมติฐานทดลองใช้เหตุผลและทำงานที่ต้องใช้สติปัญญาอย่างสลับซับซ้อนได้ เพียเจท์กล่าวว่าเด็กวัยนี้เป็นวัยที่คิดเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบันสนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมนักจิตวิทยาเชื่อว่าการพัฒนาความเข้าใจจะพัฒนาไปเรื่อยจนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา และเพียเจท์เชื่อว่าพัฒนาการของเชาวน์ปัญญามนุษย์จะดำเนินไปเป็นลำดับขั้น เปลี่ยนแปลงหรือข้ามขั้นไม่ได้
ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ (Skinner)
วางเงื่อนไขแบบการกระทำหรือแบบปฏิบัติการ ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน คือ Operant Conditioning Theory หรือ Instrumental conditioning theory  หรือ  Type – R Conditioning Theory สกินเนอร์ได้เสนอแนวความคิดโดยจำแนกทฤษฎีทางพฤติกรรมออกเป็น  2  ประเภท  คือ
  1.  พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ  Type S  (Response Behavior)  ซึ่งมีสิ่งเร้า (Stimulus)  เป็นตัวกำหนดหรือดึงออกมา เช่น น้ำลายไหลเนื่องจากใส่อาหารเข้าไปในปาก สะดุ้งเพราะถูกเคาะที่สะบ้าข้างเข่า หรือการหรี่ตาเมื่อถูกแสงไฟ พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ
  2.  พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type R (Operant Behavior)  พฤติกรรมหรือ การตอบ
สนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement) การตอบสนองแบบนี้จะต่างกับ แบบแรก เพราะอินทรีย์เป็นตัวกำหนดหรือเป็นผู้สั่งให้กระทำต่อสิ่งเร้า ไม่ใช้ให้สิ่งเร้าเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของอินทรีย์ เช่น การถางหญ้า การเขียนหนังสือ การรีดผ้า พฤติกรรมต่าง ๆ ของคน ในชีวิตประจำวันเป็นพฤติกรรมแบบ Operant Conditioning)หลักการเรียนรู้ที่สำคัญ หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ เน้นการกระทำของผู้ที่เรียนรู้มากกว่าสิ่งเร้าที่กำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อต้องการให้อินทรีย์เกิดการเรียนรู้จากสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง เราจะให้ผู้เรียนรู้เลือกแสดงพฤติกรรมเองโดยไม่บังคับหรือบอกแนวทางในการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้วจึง “เสริมแรง” พฤติกรรมนั้นทันที เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำนั้น พฤติกรรมการตอบสนองจะขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement) ตัวเสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ  คือ
  1.  ตัวเสริมแรงทางบวก  (Positive  Reinforcement)  หมายถึง สิ่งเร้าใด  ๆ  ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วทำให้อัตราการตอบสนองเพิ่มมากขึ้น เช่น คำชมเชย รางวัล อาหาร
  2.  ตัวเสริมแรงทางลบ  (Negative  Reinforcement)  หมายถึง  สิ่งเร้าใด ๆ  ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วทำให้การตอบสนองเพิ่มขึ้นในทางลบ เป็นตัวเสริมแรงทางลบ เช่น เสียงดัง อากาศร้อน คำตำหนิ กลิ่น การทำโทษ เป็นการนำตัวเสริมแรงลบเข้ามา เพราะการทำโทษบางอย่างหากนำไปใช้จะมีผลให้อัตราการตอบ
สนองเปลี่ยนไปในลักษณะที่เข้มขึ้น

Comments

Popular posts from this blog

กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4

ลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน 4 แบบ